จากปากคนไปดูไบ
23
“เรื่องของกลิ่นนั้นเป็นความสนใจของคนมีรสนิยม”
28 January 2019
HIGHLIGHTS:
– คนดูไบเป็นคนรวยและรวยมาก คนจนมักเป็นแรงงานต่างด้าว
– คนดูไบมีความเป็นชาตินิยมสูงระดับหนึ่ง
– การค้าขายในดูไบมีตลาดชัดเจนแค่ 2 ระดับคือ หรูสุดกับล่างสุด
– กลิ่นที่ชาวดูไบชอบคือกลิ่นติดหวานหรูๆ และไม้กฤษณา
– การเผาเครื่องหอมเป็นสิ่งที่นิยมมากๆ ในดูไบ
– การนำสินค้าเข้าไปขายในดูไบอาจไม่จำเป็นเพราะคนดูไบบินไปซื้อของนอกประเทศเป็นปรกติอยู่แล้ว
– ถ้าอยากขยายตลาดไปปักหลักอยู่ดูไบขอให้แน่ใจว่าคุณหรูจริงๆ
___________________________________________________________________________________________
Artisan Travel ตอนที่นั่งคิดหัวข้อนี้ก็แอบรู้สึกติดตลกแต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกชอบมากอย่างประหลาด ไม่นึกว่าเพจน้ำหอมจะเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวได้ด้วย ทว่าพอเห็นแง่มุมที่เชื่อมโยงก็อดคันปากอยากจะเล่าให้ได้อีกเช่นกัน
วันนี้จะมาเล่าเรื่องเกี่ยวกับ Dubai กันสักหน่อยครับ
พอดีช่วงเดือนก่อนมีน้องๆในกลุ่มไปเที่ยวพำนักอยู่ดูไบหนึ่งเดือนระหว่างนั้นผมก็ให้น้องๆ ช่วยเดินดูตลาดน้ำหอมและตัวน้องๆ เองก็ชอบน้ำหอมอยู่เป็นทุนอยู่แล้วจึงทำให้ทริปนี้กลายเป็นทริปน้ำหอมดูไบไปโดยปริยายครับ
เล่าย้อนไปอีกหน่อยว่าทำไมผมถึงสนใจดูไบ?
อันที่จริงเชื่อว่าหลายๆ ท่านก็คงมองว่าดูไบคือเมืองร่ำรวยมากเมืองหนึ่งของโลกหากเป็นไปได้ก็อยากทำการค้าขายด้วย อย่างแบรนด์ ROJA DOVE ที่หลังจากแยกตัวออกมาจาก Guerlain เองก็มุ่งเป้าในการเข้าไปทำตลาดที่ดูไบซึ่งก็ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามจนมีการคำนวณคร่าวๆ ว่า ROJA DOVE ที่เปิดธุรกิจน้ำหอมมาสิบกว่าปีนั้นสามารถทำกำไรได้เทียบเท่าสมัยที่ Dior ทำมาครึ่งหนึ่งของทั้งหมดเจ็ดสิบกว่าปี
เมื่อปลายปีที่แล้วผมมีโอกาสได้ร่วมงานกับทางกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศทางกรมเองมีแพลนจัดงานนิทรรศการสินค้าที่ดูไบในช่วงเดือนเมษายน 2019 ซึ่งทางกรมก็ชักชวนผมในฐานะที่ช่วยเหลืองานกันมา ผมเลยเริ่มศึกษาดูความเป็นไปได้เพราะมีข้อสงสัยในใจอยู่หลายๆ อย่าง แล้วไม่อยากประสบปัญหาแบบที่เขาเรียกว่า เห่อจีน เหมือนหลายๆ ธุรกิจที่ผ่านมา…..
แต่ถ้าจะเรียกให้ถูกนี่อาจจะกลายเป็นโรคใหม่ในแวดวงธุรกิจซึ่งน่าจะเรียกได้ว่า เห่อดูไบ ก็เป็นได้
อธิบายเรื่อง เห่อจีน กันก่อน คำๆ นี้เหมือนเป็นตลกร้ายสำหรับนักธุรกิจหน้าใหม่ เราจะคำนวณความเป็นไปได้จากการขายด้วย % ที่ต่ำสุดเมื่อเทียบกับขนาดตลาดเสมอ…..ทีนี้มันก็ง่ายมากถ้าเราเบนเข็มไปทางประชากรจีน เราพบว่าคนจีนในโลกนี้มีเป็นพันล้านคน สมมุติว่าเราขายแปรงสีฟันซึ่งยังไงๆ ทุกคนก็ต้องใช้แน่ๆ และเอาง่ายๆ แบบไม่กำไรมากคือคิดว่าได้กำไรสักห้าบาทต่อแปรงสีฟันหนึ่งอันที่เราขายได้ และเมื่อเราทำราคาถูกกว่าท้องตลาดความเป็นไปได้ในการขายก็มากขึ้นอีก ขอเพียงแค่คนจีน 1% ซื้อแปรงสีฟันของเราตัวเลข 1% ของพันล้านคนก็เท่ากับสิบล้านคนคูณกับกำไร 5 บาท เราก็จะเห็นตัวเลขมหาศาลที่จะเป็นผลกำไรต่อปีถึงห้าสิบล้านบาทซึ่งแค่นี้ก็รวยเละเทะแล้ว…..
แต่เรื่องเศร้าในความเป็นจริงคือ ทำไมคนจีน 1% ต้องซื้อสินค้าเรา?
และนี่คือที่มาของคำว่าเห่อจีนครับ ตราบที่เรายังทำให้ลูกค้าคนเดียวซาบซึ้งคร่ำครวญกับสินค้าเราไม่ได้ก็อย่าพึ่งฝันไปถึง 1% ของตลาดเลยครับ เราขายของให้มนุษย์ที่มีความซับซ้อนทางอารมณ์สูงจึงไม่มีทางเลยที่จะเอาตัวเลขทางการตลาดมาบังคับให้เป็นไปตามที่เราต้องการได้
ทีนี้กลับมายังดูไบซึ่งดูจะมีแววว่าคนที่ติดเชื้อเห่อจีนเองก็เริ่มจะมีแววหาเรื่องเจ็บตัวซ้ำสอง…..
______________________________________________________________________
ดูไบ Landmark ของคนรวย(มาก)
อย่างแรกเลยในทัศนคติที่เราเข้าใจถูกคือดูไบเป็นประเทศของคนรวย อันนี้จริงครับจริงอย่างไม่ต้องวิเคราะห์มากแต่ในความรวยนั้นก็มีความจนซ่อนอยู่เหมือนกัน เรื่องของวรรณะในดูไบนั้นมีเหมือนกันแต่ไม่ได้รุนแรงแบบอินเดีย จากที่น้องๆ ได้เดินเที่ยวห้างและสำรวจตามสถานที่ต่างๆ พบว่าจะมีการแยกโซนคนธรรมดากับคนรวยอย่างชัดเจน และแทบจะทุกที่จะมีที่จอดรถชั่วคราวหน้าประตูใหญ่สำหรับให้จอดรถรอคนเข้าไปซื้อของให้ทั้งนั้น หมายความว่าคนรวยก็ไม่ได้รังเกียจคนจนและคนจนก็ไม่ได้รังเกียจคนรวยเพียงแต่พวกเค้ามีพื้นที่ในการใช้ชีวิตในสังคมแยกกันอย่างชัดเจน ถึงแม้จะเป็นห้างเดียวกันก็แยกโซนที่แพง แน่นอนว่าก็มาพร้อมการบริการระดับหรูหราในราคาที่ขอใช้คำว่าอันตรายเลยทีเดียวครับ ส่วนในพื้นที่ปรกตินั้นก็เหมือนห้างสรรพสินค้าทั่วไปที่เอาจริงๆ บ้านเมืองเราอาจจะดูดีกว่าในหลายๆ แง่ด้วยซ้ำ
______________________________________________________________________
กลิ่นหอมของดูไบ
ความเข้าใจถูกอย่างที่สองคือดูไบนั้นเป็นประเทศที่รักน้ำหอมและเครื่องหอม เรายังคงอยู่ในความเข้าใจที่ถูกต้องว่าน้ำหอมรวมถึงเครื่องหอมนั้นเป็นของใช้ประจำสำหรับคนดูไบซึ่งมีการซื้อขายกันเป็นเรื่องปรกติเหมือนเราซื้อข้าวแกงในเมืองไทยอะไรประมาณนั้น เรื่องกลิ่นที่ดูไบชอบจากที่น้องๆ เดินสำรวจและซื้อมาฝากผมจำนวนหนึ่งผมลองดมดูก็พบจุดร่วมบางอย่าง น้ำหอมทางฝั่งดูไบนั้นมีความติดหวานค่อนข้างสูง รวมถึงเนื้อกลิ่นมักจะมีไม้กฤษณาผสมอยู่ไม่มากก็น้อย ซึ่งไม่ว่าจะในโทนไหน จะ Chypre , Fugere หรือ Flora อะไรก็แล้วแต่ต้องมีไม้กฤษณาติดมาจึงจะเป็นที่ชื่นชอบ ในทางตรงข้ามกับบ้านเราที่ชอบกลิ่นสดชื่นสบายๆ เอเชียเรานั้นมีลักษณะการใช้น้ำหอมแบบกล้าๆ กลัวๆ สอดคล้องกับนิสัยที่ขี้อายไม่ค่อยกล้าแสดงออก การใช้น้ำหอมจึงเป็นโทนกลิ่นเบา เรามักจะเห็นมุมมองจากต่างชาติมองเราว่าน่ารักกรุ้มกริ่มในอีกทางหนึ่งก็มองจากลักษณะนิสัยเป็นพวกที่ดูอ่อนแอไปเสียอย่างนั้น ในทางกลับกันสำหรับชาติอาหรับน้ำหอมหรือกลิ่นนั้นเป็นสิ่งบ่งฐานะอย่างชัดเจนดังนั้นแล้วน้ำหอมนอกจากควรหอมอย่างสวยงามและยังต้องกลิ่นชัดกลิ่นแรง สอดคล้องกับนิสัยของชนชาติที่มีความชอบเครื่องประดับหรูหรา เราจะเห็นการแต่งตัวของชาติอาหรับที่แม้จะปิดหน้าปิดตาแต่มักจะโชว์เครื่องประดับอย่างชัดเจนรวมถึงน้ำหอมก็ถือเป็นเครื่องประดับอย่างหนึ่งดังนั้นมันจึงต้องมีกลิ่นที่หรูรวมถึงส่องประกายอย่างแรงกล้าถือว่าดีที่สุด
___________________________________________________________________________________________
ความรักชาติสูงในแง่มุมที่เราไม่เคยเห็น
ค่านิยมอย่างหนึ่งที่ค่อนข้างต่างกับไทยโดยสิ้นเชิงคือเรื่องอาชีพการงาน ชาวดูไบนั้นนิยมเป็นนักธุรกิจหรือประกอบการค้าขายมากกว่าเข้ารับราชการ จากที่น้องๆ บอกมาพบว่าบุคคลสำคัญและคนแถวหน้าของดูไบล้วนแล้วแต่เป็นนักธุรกิจ โดยข้าราชการจะเป็นคนท้องถิ่นที่สืบอำนาจมากันตั้งแต่บรรพบุรุษเป็นส่วนใหญ่ ส่วนเรื่องแรงงานนั้นเป็นชาวต่างชาติทั้งหมดแถมยังให้ค่าแรงสูงด้วย การจ้างงานแพงๆ เป็นที่ยอมรับเพื่อทดแทนงานในส่วนที่พวกเขาไม่อยากทำถึงขนาดที่ว่าไม่ยอมให้คนพื้นถิ่นทำอาชีพแรงงานเด็ดขาด ตลาดแรงงานที่นิยมคือ ปากีสถาน, ฟิลิปปินส์, อินเดีย ส่วนไทยนั้นตีค่าให้เป็นแรงงานชั้นสูงที่มักจะทำงานเฉพาะทางแล้วก็เป็นที่ต้องการด้วยเพราะชาวดูไบมีความชอบวัฒนธรรมไทยค่อนข้างสูง เพลงเพื่อชีวิตกับลูกทุ่งในร้านอาหารไทยที่ดูไบถือเป็นร้านระดับท๊อปคนดูไบเองมีความชอบเพลงเพื่อชีวิตกับลูกทุ่งของไทยซึ่งถือเป็นค่านิยมระดับบนของสังคม ค่าจ้างนักร้องเฉพาะทางเหล่านี้ถือว่าสูงจนน่าตกใจมากทีเดียวครับ
ธรรมชาติของคนดูไบนั้นมีความชาตินิยมค่อนข้างรุนแรงแต่เราไม่เคยเห็นในมุมมองนั้น สินค้าที่คนดูไบจะเลือกหยิบก่อนเป็นอันดับแรกมักเป็นสินค้าแบรนด์ท้องถิ่นไม่ใช่ของแพงหรูนำเข้าอย่างที่เราเข้าใจ แต่ถึงอย่างนั้นสินค้าท้องถิ่นเองก็มีราคาไม่ด้อยกว่าสินค้าหรูนำเข้า ในหลายๆ ครั้งสินค้าที่ราคาโดดเป็นอันดับหนึ่งและเป็นที่ต้องการก็คือสินค้าจากแบรนด์ท้องถิ่นนี่เอง การให้ความสำคัญของสินค้าท้องถิ่นในดูไบนั้นเกิดจากความรักชาติของตน เราจะพบว่าหน้าตาสินค้าท้องถิ่นดูไบนั้นไม่ได้สวยงามน่าจับต้องอย่างที่คิด แต่การเลือกของในแบบคนดูไบนั้นมีความฉลาดค่อนข้างสูง คนอาหรับให้ค่าคุณภาพสินค้าจริงๆ มากกว่าภาพลักษณ์ แตกต่างกับการตลาดที่เราเรียนรู้มาว่าควรทำหน้าตาของสินค้าให้สวยไว้ก่อนลงทุนกับมาร์เกตติ้งเยอะๆ เราจะพบเห็นเครื่องเงิน เครื่องทอง หรือของราคาแพงขายกันเกลื่อนกลาดในดูไบซึ่งของบางชิ้นบางอย่างถ้าอยู่บ้านเราอาจจัดได้ว่าเป็นของขึ้นหิ้งในทางกลับกันของธรรมดาบ้านเราก็กลับมีค่ามากในบ้านเขาก็เป็นได้ รองลงมาจากสินค้าท้องถิ่นแล้วคนดูไบก็นิยมของหรูหราราคาแพงจากต่างชาติเราอาจจะมองว่าก็คล้ายกับประเทศไทย ทว่าความแตกต่างนั้นมีอยู่แค่เส้นบางๆ ว่าของนำเข้านั้นต้องเป็แบรนด์ที่ดังจริงๆ หรือเป็นแบรนด์ที่มี Story โดดเด่นมากๆ ส่วนเรื่องราคานั้นห้ามตั้งถูกมาขายเด็ดขาด ราคาเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับชาวดูไบการตั้งราคาที่ถูกเกินมาตรฐานตลาดอาจทำให้สินค้าถูกเมินได้ง่ายมากๆ จนน่ากลัว
______________________________________________________________________
ระดับทางสังคมที่สุดโต่ง
ราคาสินค้าในดูไบจัดว่าเป็นรูปแบบที่สุดโต่ง เราจะพบว่ามันมีเพียงมากสุดกับน้อยสุดเท่านั้นไม่มีตรงกลางหรือตัวเลือกที่หลากหลายอย่างบ้านเรา คนรวยก็จะซื้อน้ำหอมระดับหมื่นเป็นเรื่องปรกติไปเลยส่วนตลาดแรงงานก็จะใช้น้ำหอมระดับร้อยกว่าบาทเช่นกัน ของราคากลางๆ แบบชนชั้นกลางนั้นไม่เป็นที่นิยมในดูไบแต่จะกลายเป็นทางรอดของนักท่องเที่ยวเสียมากกว่า อย่างปัญหาที่ผมประสบมาเช่นว่าฝากน้องๆ ซื้อน้ำหอมให้หน่อยปรากฏว่าตัวดังๆ เราก็แตะไม่ได้ส่วนตัวที่พอซื้อได้ก็ดูแย่ไปเลย ในส่วนแบรนด์อย่าง Dior, Chanel หรือระดับเดียวกันอื่นๆ ก็มีไม่ต่างจากบ้านเราและก็จะเป็นที่พำนักของนักท่องเที่ยวซึ่งกลายเป็นคนตรงกลางของสังคมดูไบไปเสีย
_______________________________________________________________________
ประสบการณ์ที่ไม่คาดคิดของนักลงทุนไทย
สินค้าบางอย่างก็เป็นเรื่องตลกสำหรับชาวดูไบ นี่ถือเป็นประสบการณ์อย่างหนึ่งที่อยากแบ่งปัน เมื่อประมาณปีก่อนมีเพื่อนของผมที่ไปอยู่ดูไบพบว่าอากาศที่ดูไบนั้นร้อนแดดแรงชนิดที่ว่าแผดเผาผิวไหม้ได้ง่ายๆ ถ้าเราเป็นคนค้าขายหน่อยก็จะปิ้งไอเดียในลักษณะคล้ายๆ กันคือ Pain point นี้น่าสนใจ บรรดาครีมกันแดดน่าจะเป็นอะไรที่ขายดีมากๆ เมื่อได้ข้อสังเกตแล้วก็เลยเริ่มออกเดินสำรวจตลาดกัน ดูเหมือนจะเป็นโชคดีที่ในท้องตลาดมีแบรนด์ครีมกันแดดขายอยู่น้อยมากถือว่ามีช่องว่างการตลาดที่เป็นขุมทองหรือบลูโอเชี่ยน ความลิงโลดนี้เหมือนเสือติดปีกทันทีที่สรุปความได้เพื่อนของผมก็เลือกครีมกันแดดที่ดีที่สุดในไทยที่จะหาได้สำรวจราคาที่คนดูไบน่าจะชอบ ทำการตลาดทำแพคเกจและนำเข้ามาขายมาถึงตรงนี้เราน่าจะได้เห็นเศรษฐีคนใหม่ของไทยแต่เรื่องไม่ง่ายอย่างนั้นครับ
จริงๆ ก็น่าจะเอะใจตั้งแต่ว่าทำไมแบรนด์ดังๆ ถึงไม่ทำตลาดครีมกันแดดในดูไบแรงๆ ทั้งๆ ที่เขาก็น่าจะรู้มากกว่าเรา
ครับ….ครีมกันแดดขายไม่ได้เท่าที่ควรครับ เหตุผลสำคัญที่เราพบทีหลังและทำให้รู้สึกทั้งน้ำตาร่วงและน่าหัวเราะไปพร้อมกันคือ ชาวดูไบนั้นชอบมีผิวสีแทนถึงคล้ำ เมื่อสังเกตดีๆ เราจะพบว่าน้อยคนที่จะกางร่มเพื่อบังแดด พวกเขาคือชาวทะเลทรายที่มีเพียงผ้าคลุมและแว่นกันแดดเท่ห์ๆ อันนึงก็พอแล้ว ในการคลุมผ้าเกือบทั้งตัวนั้นเขาไม่เห็นความจำเป็นอะไรที่จะต้องใช้ครีมกันแดดส่วนเรื่องความร้อนพวกเขาก็ไม่ได้รังเกียจเพราะมันเป็นธรรมชาติของดูไบ สีผิวที่ขาวเนียนนุ่มนั้นเขาก็ไม่ต้องการ ความน่าเกรงขามของผิวสีเข้ม ตาคมและหนวดที่ตกแต่งอย่างดีคือวิถีชีวิตที่พวกเขานิยม ดังนั้นแล้วโปรเจคครีมกันแดดที่คาดหวังไว้จึงล่มไม่เป็นท่าเลยครับ
______________________________________________________________________
เตาเผาเครื่องหอมกับมุมมองที่แตกต่าง
สำหรับน้ำหอมแล้วก็มีข้อควรสังเกตอีกนิดหน่อยที่ผมถือว่าน่าสนใจหลังจากได้เห็นเรื่องราวของครีมกันแดด น้องๆ ออกเดินดูตามช๊อปในห้างและพบว่าแทบทุกซอกทุกมุมไม่ว่าจะเป็นห้องแอร์หรือไม่ติดแอร์จะมีสินค้าอย่างหนึ่งที่ไม่คุ้นตาคือ เตาเผาเครื่องหอม เราพบว่าการเผาเครื่องหอมในดูไบนั้นเป็นที่นิยมมากๆ ซึ่งมองย้อนไปในประวัติศาสตร์ก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ สำหรับคนไทยแล้วการเผาเครื่องหอมถือเป็นเรื่องพิธีกรรมที่จะไม่ทำพร่ำเพรื่อทั่วไป ในทางกลับกันที่ดูไบนั้นเผากันเป็นบ้าเป็นหลัง จนควันนั้นตลบอบอวลไปหมด สิ่งที่เป็นหัวใจหลักของการเผานี้ก็คือ ไม้กฤษณา ดังนั้นจึงเป็นคำตอบว่าทำไมไม้กฤษณาถึงมีราคาแพงและเป็นสินค้าที่มีความต้องการของตลาดสูง บรรดาเครื่องหอมที่ใช้เผานั้นมีหลายราคาก็จริงอยู่ ผมลองซื้อแบบของถูกมาเผาปรากฏว่ามันเหม็นมากกว่าหอม แต่สำหรับกำยานที่นิยมซื้อใช้กันในดูไบนั้นมีความหอมและก็แพงมากๆ สี่ห้าก้อนก็ว่ากันเป็นสองสามพันบาทซึ่งก็ถือว่าเป็นระดับกลางๆ ไม่ได้ดีมากอะไรนักแต่ก็มีการซื้อขายกันเทียบเท่าหรืออาจจะมากกว่าน้ำหอมฉีดตัวเสียอีก
ในทริปท่องเที่ยวนี้น้องๆ เล่าให้ฟังว่าพบอะไรที่น่าจะเป็นโอกาสมากมาย เช่นวงการบันเทิงและแฟชั่นรวมถึงสินค้าฟุ่มเฟือยทั้งหลายนั้นมีช่องว่างให้เข้าไปเล่นได้อยู่เยอะมาก ทว่าสิ่งที่เราสัมผัสได้อย่างชัดเจนเลยคือที่นี่ไม่ใช่พื้นที่สำหรับมือใหม่แน่นอน ยังมีแง่มุมเชิงศาสนาและวัฒนธรรมอีกมากที่เราต้องเรียนรู้จากเขา ถึงแม้ว่าเราจะมองเห็นบางอย่างนั้นล้าสมัยเช่นวงการบันเทิงแต่แท้จริงแล้วนั่นคือความพอใจของเขาที่สอดคล้องไปกับหลักศาสนาเป็นอย่างดี เราไม่อาจใช้บรรทัดฐานอื่นไปค้านเหตุผลของเขาได้ ในทางกลับกันเมื่อเขามีกำลังทางการเงินสูงกว่าในการไปบีบบังคับให้ทดลองหรือยอมรับอะไรอาจจะกลายเป็นทำให้บรรดาสุลต่านรำคาญใจเปล่าๆ
ดูไบเป็นตลาดที่พิเศษและเป็นเมืองแห่งกลิ่นหอมโดยแท้จริงในเชิงของผู้บริโภค ข้อน่าดีใจอย่างหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกภูมิใจคือดูไบนั้นมีความชื่นชอบวัฒนธรรมไทยอยู่ในใจเป็นทุน ถึงแม้ปัญหาหลายๆ อย่างของไทยจะเป็นสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกขุ่นมัวอยู่บ้างแต่ค่าฝีมือของคนไทยก็ยังเป็นที่ยอมรับอยู่ในระดับสูง การจะควักจ่ายของชาวดูไบนั้นไม่ยากเพราะปรกติชาวอาหรับก็นิยมบินมาซื้อของตามห้างใหญ่อย่างสยามพารากอนเป็นปรกติอยู่แล้ว ด้วยเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลที่เล่ามาผมเชื่อว่าการที่แบรนด์ไทยจะไปผงาดอยู่ในดูไบก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้
ขอขอบคุณ
คุณ จิตตินันท์ ยอดวงศ์สกุล